เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ มิ.ย. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ศรัทธาความเชื่อไง ถ้ามีศรัทธา เห็นไหม ศาสนาเจริญเจริญในหัวใจของสัตว์โลก ถ้าเรามีศาสนา ความเจริญของใจเรา ใจเรามันเป็นใจโดยธรรมชาติของมัน พระพุทธเจ้าสอนไว้ เห็นไหม ไม่ให้เชื่อในกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อต่างๆ ไม่ให้เชื่อแม้คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ให้เชื่อ ให้เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ไม่ให้เชื่อก่อน แล้วเราประพฤติปฏิบัติ แล้วพอประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ประสบการณ์ตรงของเรานะ เราเชื่อสิ่งนั้น

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าศาสนาจะเจริญในหัวใจของสัตว์โลก เห็นไหม เจริญในหัวใจของเรา จะฝนตกแดดออก จะมีอุปสรรคขนาดไหน เราก็แสวงหาความดีของเรา เพราะเราเชื่อว่าเราอบอุ่นใจไง

ใจอบอุ่นนะ ใจมีที่พึ่ง ใจไม่ว้าเหว่ ถ้าใจของคนเราว้าเหว่ เห็นไหม มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในที่รื่นเริงขนาดไหน มันก็ว้าเหว่ของมันในหัวใจ หัวใจนี่มันเรื่องของใจ มันอยู่ในหัวใจของเรา ไม่มีใครสามารถเข้าไปเพื่อจะตบแต่งมันได้ ถ้ามันมีความเจริญของใจ เห็นไหม ศาสนามันเจริญในใจ มันดึงให้ใจนี้มีความศรัทธา ศรัทธาความเชื่อของใจอันนี้มันมีเครื่องที่ว่ามันอบอุ่นใจตรงนี้ไง

ใจอบอุ่น ใจมีความสุขของใจ ใจมีที่พึ่งของใจ เห็นไหม ใจมีที่พึ่ง ใจมีที่เกาะเกี่ยว ใจมีเครื่องครองไป นี่มันมีเป็นแขกจรมา แขกจรมาของใจ นี่ความเจริญของใจ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อแล้วใจมันเจริญขึ้นมา ศาสนามันเจริญ เจริญในใจของสัตว์โลก

ศาสนาจะเสื่อม เสื่อมที่ไหนเป็นเรื่องของเขา เสื่อมในโลกของเขาไป เขาไม่สนใจเรื่องของศาสนา เห็นไหม เขามีแต่ความรื่นเริงในโลกของเขา เขาคิดพูดออกมาได้นะว่าเขามีความสุขของเขา ความสุขของเขาที่เขาพูดออกมามีความสุขของเขา เพราะว่าเขามีความสมความปรารถนา เขานึกสิ่งใด เขาพยายามแสวงหาสมความปรารถนาของเขา

คนเรานี่มันมีบุญกุศลมานะ ถ้าเราสร้างคุณงามความดี สร้างกรรมทำคุณงามความดีมา มันจะสมความปรารถนา ถ้าไม่สร้างคุณงามความดีของเรามา ไม่มีกรรมดีมา กรรมดีทำให้เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม มนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัตินี่เกิดยากมากนะ แล้วคนเราเวลามีความทุกข์ขึ้นมา มันจะทำลายตัวมันเอง ทำลายตัวมันเองเพื่ออะไร?

โลกนี้มีเพราะมีเรา เพราะมีเราทำลายเราขึ้นไป จะทำลายเราแล้วมันจะจบสิ้นไหม? ไม่จบสิ้นหรอก ทำลายเราแล้วมันทำลายแต่เรื่องของร่างกาย แต่หัวใจทำลายได้ไหม? หัวใจความนึกความคิดทำลายไม่ได้ ถ้าเราทำลายความคิดความนึกของหัวใจได้ เวลามันทุกข์มันโศกขึ้นมา เราไม่ต้องการสิ่งนั้น เราต้องพลัดพราก ให้มันหลุดออกไปจากใจของเราได้สิ มันทำไมหลุดไปไม่ได้ เห็นไหม มันแนบไปกับใจ

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำลายว่าโลกนี้มีเพราะมีเรา โลกนี้มีเพราะมีหัวใจต่างหาก หัวใจนี่ไปปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา หัวใจไปเป็นโอปปาติกะ เห็นไหม ไปเกิดในสัตว์โลก ไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ นี่พวกนี้พาขับเคลื่อนให้โลกนี้หมุนเวียนไป ความหมุนเวียนไปของใจ ใจมันทำให้เกิดต่างๆ เกิดในที่ต่างๆ ไม่มีความที่สิ้นสุดได้

คนเราเวลาตาย เราไปส่งกันที่เชิงตะกอน ส่งกันแต่เรื่องของร่างกาย แต่ไม่มีใครส่งถึงหัวใจได้ ยกเว้นไว้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานธรรมไว้ ถ้าเราก้าวเดินตามธรรม เห็นไหม ธรรมนี้ส่งใจของเราให้ถึงที่สุดได้

โลกนี้มีเพราะมีหัวใจ โลกนี้มีอยู่จะเก้อๆ เขินๆ เพราะใจดวงนี้ทำเรื่องของความติดข้องของใจจนหมดสิ้นออกไปจากใจ ใจไม่เกาะเกี่ยวไปในโลกนี้ โลกนี้มีอยู่โดยเก้อๆ เขินๆ ของเขา เขาเก้อๆ เขินๆ มันเสวยอารมณ์ก่อน เห็นไหม เสวยอารมณ์ เสวยความรู้สึกของตัวเอง แล้วถึงเที่ยวเกาะเกี่ยวไปในสัตว์โลกเขา เกาะเกี่ยวไปในวิญญาณต่างๆ

โลกนี้มีเพราะมีหัวใจดวงนี้ ไม่ใช่โลกนี้มีเพราะมีเรา นั่นน่ะโลกนี้มีเพราะมีเรา นี่ศาสนามันเสื่อมเสื่อมเพราะอะไร เพราะมันทำลายโอกาสของตัวเอง ทำลายเราทั้งหมดนะ ทำลายให้เราไม่มีโอกาสได้สร้างคุณงามความดี ทุกข์ยากขนาดไหนมันมีความทุกข์ยาก มันทุกข์ยากมันอยู่ชั่วคราว แล้วมันก็ต้องเป็นอนัตตาไป มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปโดยชั่วคราว

ถ้าเราทนกับสิ่งนี้ได้ เราจะประสบความสุขของเรา เราประสบความสุขถ้าสิ่งนี้มันเคลื่อนไปแล้ว สิ่งที่เคลื่อนไป มันขวางหน้าไม่ได้ ความสุขเป็นสิ่งที่ปรารถนา เวลาเราสุขของเรา เราอยากจะปรารถนาของเรา เราพยายามดึงของเราไว้ จะดึงไว้ขนาดไหนมันก็เหมือนกัน ทุกข์นี้มันเป็นอนัตตา ความสุขก็เป็นอนัตตา

ความสุข เห็นไหม ไม่คงที่ เพราะมันเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสเราต้องแสวงหา ศรัทธาความเชื่อของเรา เราแสวงหาได้ขนาดนี้ พยายามสร้างสมขึ้นมา สร้างสมขึ้นมาจนมันมีความเชื่อมั่นของเรา เห็นไหม มีศรัทธาความเชื่อของเรา ศรัทธาขึ้นมา นั่นน่ะสิ่งที่สุขที่ไม่เกิดด้วยอามิส เห็นไหม มีหัวใจนี่ความสุขหาได้ด้วยใจ

“ความสุขในโลกนี้เท่ากับใจสงบไม่มี”

หัวใจสงบนี้มีความสุขที่สุดในโลก โลกนี้มีความสุขขนาดไหนของเขา เขาแสวงหาขนาดไหนมันเป็นอามิสทั้งหมด มันเพราะมีสิ่งนั้นสมความปรารถนาของมัน มันถึงมีความพอใจ ความพอใจของใจนั่นน่ะมันมีความสุขของมัน สุขเพราะมันพอใจสิ่งที่มันไปแสวงหามา แต่สุขเพราะว่ามันไม่ต้องการสิ่งใดที่เกิดขึ้นมาจากนั้น ความสุขอันนี้ เห็นไหม

จากศรัทธาความเชื่อได้ธรรมสมความปรารถนา มันก็มีความสุขใจของเรา แล้วสิ่งนั้นมันก็ต้องอาศัยต่อเติมออกไปตลอด ถ้าเรามีความสุข เห็นไหม อยู่ในบ้านของเรา ก่อนนอนขึ้นมาเราพยายามนึกพุทโธ พุทโธก่อนนอน นั่นน่ะหัดฝึกฝนสิ่งนี้ นี่ไม่เจือด้วยอามิส เห็นไหม สิ่งนี้ว่าทำ สิ่งต่างๆ ทำได้ยากๆ

ทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับมีศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง

มีศีลร้อยหนพันหนไม่เท่ากับมีความสงบของใจหนหนึ่ง

ความสุขของใจหาได้ สิ่งที่หาได้ในตัวเราเอง ความสุขที่หาได้ในตัวเราเอง ถ้าเราปล่อยวางในตัวเราเอง เห็นไหม เราปล่อยวางในอารมณ์ สุขเกิดขึ้นจากสิ่งที่เราแสวงหาได้ในตัวเราเองนี้ ไม่ได้ด้วยเป็นอามิสต่างๆ ด้วยอามิสสิ่งที่ต่างๆ นี่มันต้องมีสิ่งที่กระทบกระเทือน ต้องมีสิ่งต่อเนื่องกัน เกาะเกี่ยวกัน มันถึงจะเป็นความสุขไปได้ กับความสุขที่หาได้ในหัวใจของเรา แล้วถ้าเราฉลาดขึ้นมา มันละเอียดลึกซึ้งเพราะมันหาได้ไม่ได้

เวลาเราจะภาวนาของเราขึ้นมา เรานั่งนี่ มันไม่เห็นความสงบของเราสักทีหนึ่ง เวลาเรานั่งขึ้นมา มันจะทำอะไรขึ้นมา มันเหมือนกับว่าของมันละเอียดอ่อนเกินไปจนเราไม่สามารถจับต้องได้ เหมือนเด็กนะ เด็กมันเล่นของมันประสามัน มันเล่นประสาของมัน ผู้ใหญ่ทำงานได้ละเอียดอ่อนกว่าเด็ก เห็นไหม ทำได้ประณีตกว่า

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าคนหยาบขึ้นมาจะไม่เห็นสิ่งนี้เลย ถ้าคนละเอียดขึ้นมา มันจะสังเกตหัวใจของตัวเอง มันจะคิดว่าสิ่งนี้มีได้อย่างไร สิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรในหัวใจของเรา ถ้าเรามีความรู้สึกเกิดขึ้นมา เห็นไหม มันมีความพอใจที่จะทำขึ้นมา ถ้ามีความพอใจที่จะทำขึ้นมา คนนั้นมีโอกาสแล้ว คนที่มีโอกาส สร้างโอกาสของตัวเองขึ้นมา ถ้าสร้างโอกาสของตัวเองขึ้นมา มันทำได้ สิ่งที่ทำได้ เห็นไหม ความสงบของใจ มันความสุขเกิดขึ้นเพราะความสงบ สิ่งนี้มีด้วยหรือ?

ความสุขต่างๆ มันมีความพอใจ มันแปลกประหลาดกับโลกนะ โลกมีความสุขของเขาประสาโลกของเขาด้วยอามิสต่างๆ นี่เป็นความพอใจ แต่สิ่งที่มันเต็มอิ่มของมันในหัวใจนี่ไม่ใช่อามิสสิ่งต่างๆ เห็นไหม มันเกิดด้วยธรรมชาติของมัน ด้วยคำบริกรรม

อาหารของใจ ใจกินธรรมะเป็นอาหาร ร่างกายของเราจะต้องการอาหารขึ้นไปหล่อเลี้ยงร่างกายตลอดเวลา แต่หัวใจของเรานี้ไม่เคยมีอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงมันเลย เห็นไหม มันมีแต่ใช้พลังงานของมันออกไป จนมันเร่าร้อนขนาดไหน มันก็ทำงานของมันออกไป แต่มันไม่เคยได้รับอาหาร

ถ้ามันได้เคยรับอาหารของมัน เห็นไหม คำว่า “พุทโธ พุทโธ” ของเรา พยายามทำใจขึ้นมานะ มันเจริญตรงนี้ไง ศาสนาเจริญตรงหัวใจของใจดวงไหน ใจดวงนั้นจะมีความเจริญขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น พอใจดวงนั้นมีความเจริญขึ้นมา มันมีความสงบของมันขึ้นมา ทำเข้าไปมันต้องเป็นไปได้

เวลาพระอาทิตย์ขึ้นมา เห็นไหม ความร้อนมันแผดเผาในโลกนี่ มันต้องมีความอบอุ่นของโลกของเขา ถ้ามากเกินไปมันก็เร่าร้อน นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีความพยายามทำพุทโธเข้าไปในหัวใจ มันมีเหตุแล้วมันต้องมีผล ผลในใจเกิดขึ้นมาจากเราตั้งใจของเรา ถ้าเราตั้งใจของเราขึ้นมา มันทำของเราขึ้นมา มันเป็นผลของเราขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น นี่มันเจริญอย่างนั้นขึ้นมาแล้วมีความสุขของเราขึ้นมา ความสุขขึ้นมานะ

ศาสนาเจริญเจริญในใจของสัตว์โลก เจริญแล้วยังมีความวุฒิภาวะของใจก็ต่างกัน เห็นไหม เจริญในการทำทานก็เจริญในการทำทาน ผู้มีความพอใจในการทำทานก็ทำทานไป ผู้ที่พอใจทำความสงบของใจขึ้นมา ผู้ที่พยายามภาวนาของใจของเราขึ้นมา สร้างปัญญาของใจของเราขึ้นมา นั่นน่ะมรรคมันเกิดขึ้นๆ จากตรงนี้

มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์สำหรับใจผู้ที่ปฏิบัติขึ้นไป มันมหัศจรรย์มาก มันเป็นไปได้อย่างไรสิ่งที่มันเกิดขึ้นมานี่ ใครจะสามารถเอาสิ่งนี้มาวางได้ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรมก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมละเอียดอ่อนขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ทำให้มันตื้นขึ้นมา กว้างขนาดไหนให้มันแคบขึ้นมาด้วยบัญญัติไง ด้วยขันธ์ ๕ เห็นไหม สังขาร ความปรุง ความแต่ง ความนึกๆ ได้ทั่วโลกธาตุ นึกที่ไหนก็นึกได้หมด เห็นไหม นั่นน่ะมันเป็นอะไรถ้าเราไม่ว่าเป็นสังขาร มันเป็นความปรุงความแต่งขึ้นมา ปรุงแต่งขึ้นมาจากอะไร จากวิญญาณความพอใจในวิญญาณนั้น ในเวทนาของใจ

สิ่งที่พอใจความคิดของตัว เห็นไหม สัญญามันแย้บขึ้นมาก่อนแล้วมันก็ปรุงขึ้นไป สังขารปรุง วิญญาณรับรู้ขึ้นไป ขันธ์มันก็วนเวียนไปในหัวใจ มันเกิดดับธรรมชาติของมัน มันมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่เราไม่เคยเป็นประโยชน์ของเรา มันมีอยู่โดยดั้งเดิมเพราะว่าเราเกิดมามีขันธ์ ๕

แต่เพราะเรามีศาสนา ศาสนาถึงบัญญัติขึ้นมาให้มันแคบขึ้นมา เราแคบขึ้นมาเราก็จับต้องสิ่งนั้นขึ้นมา ย้อนกลับเข้ามาในหัวใจของเรา นี่มันแคบขึ้นมาๆ จนเราสามารถ.. ปลาในข้อง เห็นไหม เราจับปลาในข้องได้ นี่ก็เหมือนกัน เราจับอาการของใจของเราได้ ถ้าเราจับอาการของใจของเราได้ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นความคิด ความปรุง ความแต่ง เราจับได้ สิ่งที่เราจับได้ เราจับปลาได้ เห็นไหม เราจับปลาได้ เราสามารถจะทำลายปลานั้น เราสามารถจะไม่ให้ปลานั้นมันออกลูกออกหลานไปได้

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดมันเกิดขึ้นมาแล้วมันออกลูกออกหลาน มันผิด กระบวนการความคิดมันเกิดขึ้นมากตลอดไป แล้วเราไม่เข้าใจ เราหยุดยั้งความคิดเราไม่ได้ เห็นไหม ความคิดมันเกิดขึ้นแล้วหมุนเวียนออกไป หมุนเวียนออกไป แล้วมันคิดในเรื่องอะไร? ถ้ามีกิเลสอยู่มันก็คิดแต่ความพอใจของมัน คิดแต่ความเห็นของมัน เห็นไหม ความเห็นของมัน มันจะเอาอะไรมาให้ความสุขกับเรา

มันไม่มีความสุขกับเราหรอก! เราต้องเอาธรรมเข้าไป ปัญญาจะแยกเข้าไปนะ สิ่งนี้เคยคิดขึ้นมาขนาดไหน คิดขึ้นมาแล้วเราก็เผาร้อน เร่าร้อนเผาตัวเอง

ถ้ามันคิดในเรื่องคุณงามความดีสิ คิดถึงการกระทำ เห็นไหม คิดถึงเหตุที่เราพยายามจะให้เราภาวนาขึ้นมา เหตุของมันเราสร้างเหตุเข้าไป ผลมันเกิดขึ้นมาจากใจดวงนั้นๆ ใจดวงนั้นจะเข้าใจเอง ใจดวงนั้นจะเห็น เห็นไหม นั่นน่ะศาสนาเจริญขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งๆ วุฒิภาวะของใจนี่มันต่างกัน จากทาน ศีล ภาวนา

แล้วภาวนาเกิดขึ้นมาโดยที่เป็นโสดาปัตติมรรคขึ้นมา มรรคอริยสัจจัง เห็นไหม มัคคะเกิดขึ้นมามันต้องมีผล แต่ถ้ามัคคะเกิดขึ้นมาแล้วเราไม่ส่งเสริมขึ้นไป มันก็เสื่อมไปๆๆ มันเหมือนหลุดมือไปนะ สิ่งที่เป็นสมบัติของเราควรจะเป็นสมบัติของเรา เราปล่อยหลุดมือเราไปเพราะเราไม่เคยขึ้นมา

นั่นน่ะหาครูหาอาจารย์เพื่อตอกย้ำสิ่งนี้ไง ตอกย้ำสิ่งนี้สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟังแล้วพยายามสะสมขึ้นมา พยายามสร้างขึ้นมา มันจะตอกย้ำขึ้นมาว่าสิ่งนั้นถึงที่สุดได้ ต้องทำต่อไป ไม่ใช่เชื่อมั่นตัวเอง

ความเชื่อมั่นตัวเองเชื่อมั่นส่วนหนึ่ง แต่ความจริงที่มันจะเกิดขึ้นมาต้องเป็นความจริงอีกส่วนหนึ่ง ถ้ามันยังไม่เกิดความจริงของเราขึ้นมา เราต้องสร้างสมของเราขึ้นมาจนมันเป็นประโยชน์ เป็นสมบัติของเรา นั้นคือศาสนาเจริญในหัวใจดวงนั้น มันจะงอกงามเจริญมาก เจริญในความว่ามันจะเห็นเลยว่าสรรพสิ่งนี้เกิดขึ้นมาแล้วต้องสลายไป “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา” มันไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่เกาะเกี่ยว

แต่เดิมสิ่งใดเกิดขึ้นมานี้เป็นของเราๆ เรายึดแล้วเราไม่ยอมให้มันพลัดพรากไป แล้วมันพลัดพรากไปมันก็มีความทุกข์ในหัวใจ ความทุกข์ในหัวใจนั้นเพราะมันไม่เข้าใจธรรม ถ้ามันเข้าใจธรรมแล้วมันจะปล่อยวางตามความเป็นจริง เห็นไหม จิตใจดวงนั้นจะมีความสุขพอสมควร จนกว่าจะพ้นออกไปจากกิเลสทั้งหมด จิตใจดวงนั้นมีความสุขโดยธรรมชาติของมัน

นั่นน่ะศาสนาเจริญเจริญแบบนี้ เจริญในใจของสัตว์โลก เห็นไหม นี้ใจก็เหมือนกัน ถ้าเรามีหัวใจของเรา พยายามให้มันเจริญในใจของเรา แล้วเราเจริญ (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)